200 ซีอีโอ แนะปรับ ครม. พร้อมให้คะแนน ‘นายกฯ-หมอหนู’ 1 เต็ม 10
200 ซีอีโอ โหวต “นายกฯ-อนุทิน” เต็ม 10 ให้ 1 คะแนน จี้ปรับ ครม.ดึงคนเก่งร่วมบริหาร หลังโควิด “วิกฤตหนัก” ระบุ “สาธารณสุข” ควรปรับออกมากสุด ให้คะแนนทีมเศรษฐกิจตกทั้งทีม เสนอทางแก้ “เร่งฉีดวัคซีนให้เร็ว”แนะรัฐเร่งผ่อนกฎทำธุรกิจ ลดภาษี พักเงินต้น ยืดหนี้ ลดดอก
กรุงเทพธุรกิจ รายงานผลสำรวจความคิดเห็น 200 ซีอีโอ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) ขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่หลายกลุ่ม เช่น ภาคการเกษตร การผลิต การส่งออก การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว รถยนต์ ค้าปลีก อุปโภค บริโภค พลังงาน ไอทีดิจิทัล ถึงข้อเสนอแนะ “ทางออก” วิกฤติโควิดในไทยที่ขณะนี้วิกฤติระดับสูงสุด ยอดผู้ติดเชื้อยังคงหลักพัน ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ผลสำรวจของกรุงเทพธุรกิจ พบว่า ซีอีโอ กว่า 55% ระบุ รัฐบาลควร “ปรับคณะรัฐมนตรี” ดึงคนเก่ง ที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาร่วมบริหาร และแก้สถานการณ์โควิด-19 ที่เข้าขั้นวิกฤตสูงสุด ซึ่งรัฐบาลชุดนี้กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนักถึงการบริหารจัดการที่ล้มเหลว รองลงมา ซีอีโอ 30% เห็นว่า รัฐบาลควร “ลาออก” และ 21.3% อยากให้เป็นรัฐบาลชุดเดิม แต่ขอให้มีมาตรการแก้ปัญหาแบบเชิงรุก ชัดเจน และวัดผลได้ ขณะ ซีอีโอ ราว 12.2% อยากให้รัฐบาลชุดนี้ยุบสภา
สำหรับกระทรวงที่ ซีอีโอ มีความเห็นว่า ควรปรับ ครม.ออกมากที่สุด 79.3% คือ กระทรวงสาธารณสุข รองลงมา กระทรวงมหาดไทย35.2% และ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง 31.6%
วิกฤตโควิดระลอกใหม่นี้ กระทบภาพรวมธุรกิจหนัก โดยเฉพาะจากมาตรการคุมเข้มรายจังหวัด การปิดสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง สถานบริการที่ปิดเร็วขึ้น รวมถึงการขอความร่วมมือไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านในเวลาที่กำหนด การขอความร่วมมือเวิร์คฟอร์มโฮม ย่อมกระทบยอดขาย และรายได้ในภาคบริการ รวมถึงธุรกิจที่ยากจะหลีกเลี่ยง
ส่วนประเด็นการขอรัฐลดภาษี ยืดหนี้ ลดดอกปล่อยกู้นั้น ซีอีโอ ในกลุ่มนี้เห็นว่า รัฐบาลควรเร่งนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจเพื่อรับมือวิกฤติ โดยกว่า 82.8% ต้องการให้รัฐบาลเร่งผ่อนคลายข้อกำหนดการทำธุรกิจ ลดภาษี พักเงินต้น ยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย รองลงมา 53% ต้องการให้ปล่อยซอฟต์โลนให้ทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ส่วน 46.5% ต้องการให้ลดหรือฟรีค่าครองชีพ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ให้ทุกครัวเรือน ขณะที่ 27.8% ต้องการให้รัฐแจกเงินเยียวยาประชาชนทุกกลุ่มเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติม เช่น ให้รัฐเร่งแก้ที่ต้นตอ คือ เร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด เปิดให้เอกชนรวมถึงโรงพยาบาลเอกชนสั่งวัคซีนได้ มีมาตรการสร้างงาน สร้างอาชีพรองรับ ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี หรือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบตามมากน้อยตามลำดับ ปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลนให้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เติมสภาพคล่องทางการเงินให้หันมาบริโภค และใช้จ่ายในประเทศมาขึ้น
เมื่อถามว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ปัญหาที่เข้าขั้นวิกฤตสูงสุด คือ อะไร ซีอีโอมากกว่า 86.9% ตอบว่า ต้องการให้เร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด รองลงมา 54.5% เร่งระดมภาคเอกชน โรงพยาบาลและทุกภาคส่วนร่วมสนับสนุน เตียง สถานที่รักษา รองรับผู้ป่วย ซีอีโอมากกว่า 43% อยากให้มีบทลงโทษทางกฎหมายกับผู้ฝ่าฝืนมาตรการสาธารณสุขเข้มงวด และ 42.9% ต้องการให้ใช้ระบบ ‘เทเล เมดิซีน’ เต็มรูปแบบเพื่อรองรับผู้ป่วยที่ต้องการคำแนะนำ
นอกจากนี้ ซีอีโอ 36% ยังต้องการให้รัฐบาล ‘ให้อำนาจจังหวัดล็อกดาวน์’ ในพื้นที่ของตัวเอง ขณะที่ 33.8% บอกว่า ควรเพิ่มบุคลากร อาสาสมัคร ที่มีความรู้ในการให้คำแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวเมื่อติดเชื้อผ่านทางสายด่วน หรือแอพพลิเคชัน และมี ซีอีโอ ราว 27.3% เห็นว่า ควรใช้มาตรการล็อกดาวน์บางจังหวัด รวมถึงอาจต้องล็อกดาวน์ทั้งประเทศ
สำหรับความเห็นเพิ่มเติมในส่วนนี้ ซีอีโอ ระบุว่า รัฐอาจจำเป็นต้องปิดสถานบริการอย่างไม่มีกำหนด เพื่อควบคุมระบาดและสกัดไม่ให้เกิด ‘คลัสเตอร์’ เพิ่ม รวมทั้งเข้มงวดการลักลอบเข้าประเทศที่เชื่อว่า มีคนไทยอำนวยความสะดวก เพราะอาจเป็นช่องโหว่นำโควิดสายพันธุุ์ใหม่เข้ามา ทั้งต้องบังคับใช้กฎหมายลงโทษกลุ่มบุคคลที่เป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อเข้มงวด
ส่วนมุมมองสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อนั้น มีคำแนะนำว่า หากอาการไม่รุนแรงควรพิจารณาให้กักตัวที่บ้าน เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงให้กับกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ที่สำคัญรัฐควรเปิดกว้างให้เอกชนเข้ามาช่วยเต็มที่
การสำรวจครั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” เปิดให้ ซีอีโอ ให้คะแนนความพึงพอใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเศรษฐกิจ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการแก้วิกฤตครั้งนี้
ซึ่ง ซีอีโอ ส่วนใหญ่ประเมินให้ “สอบตก” โดย ซีอีโอ ที่ตอบในสัดส่วนมากที่สุดให้คะแนนเพียงแค่ 1 คะแนน จากเต็ม 10 คือ 24.9% ให้คะแนนความพึงพอใจต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้วิกฤติ จากคะแนนเต็ม 10 ให้เพียง 1 คะแนน 14.7% ให้ 5 คะแนน 14.2% ให้ 3 คะแนน และ 10.6% ให้ 6 คะแนน มี ซีอีโอ เพียง 2.5% เท่านั้นที่ให้คะแนน พล.อ.ประยุทธ์เต็ม 10 คะแนน
ขณะที่ความพึงพอใจต่อ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนั้น ซีอีโอ 39.9% ให้ 1 คะแนน รองลงมา 15.7% ให้ 3 คะแนน 11.6% ให้ 2 คะแนน มีซีอีโอเพียง 1.5% เท่านั้นที่ให้คะแนนเต็ม 10
“นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งรับผิดชอบงานนโยบายเศรษฐกิจ ซีอีโอ 23.4% ให้ 1 คะแนน รองลงมา 14.7% ให้ 5 คะแนน และ 13.7% ให้ 3 คะแนน มีซีอีโอเพียง 2.5% เท่านั้นที่ให้คะแนนเต็ม 10
เช่นเดียวกับ “นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งรับผิดชอบนโยบายการเงินการคลังของประเทศ ซีอีโอ 19.5% ให้ 1 คะแนน รองลงมา 14.9% ให้ 5 คะแนน มีเพียง 1.5% เท่านั้นที่ให้คะแนนเต็ม 10
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมของ “ทางออก” วิกฤตครั้งนี้ ซึ่งซีอีโอส่วนใหญ่ย้ำการ “เร่งฉีดวัคซีน” ให้เร็ว เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ รวมถึงเรียกร้องให้เปลี่ยนทีมผู้บริหารจัดการด้านสาธารณสุขของประเทศ ตั้งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลโควิดโดยเฉพาะและให้อำนาจตรง ทั้งควรพิจารณาให้ประชาชนได้รับการตรวจโควิดฟรี
ที่น่าสนใจคือ ซีอีโอ ได้ให้ความเห็นการบริหารจัดการวัคซีนอย่างกว้างขวาง บางความเห็น ระบุว่า หากรัฐต้องการใช้วัคซีนเพียงแค่ 2 ยี่ห้อ ด้วยเหตุผลทางการเมือง ควรเปิดให้เอกชนจัดการวัคซีนที่มีคุณภาพยี่ห้ออื่นภายใต้การควบคุมของโรงพยาบาล ไม่ใช่มาปิดกั้น หรือรัฐบาลควรนำเข้าวัคซีนหลายยี่ห้อเพื่อจำหน่ายราคาต้นทุน ให้เป็นทางเลือกประชาชนได้เข้าถึงเสรี จัดทำแผนบริหารจัดการวัคซีนเป็นระบบ ตั้งแต่การจัดหา กระจายและกำหนดความร่วมมือรัฐและเอกชนในรายละเอียด
“รัฐบาลควรถอยออกไป ให้เอกชนนำเข้าวัคซีน และให้โรงพยาบาล รวมถึงเอกชนได้บริหารจัดการกันเองตามที่เคยเป็น เพราะมีประสิทธิภาพมากกว่าที่รัฐจะแทรกแซง ที่สำคัญเลิกหาผลประโยชน์จากวัคซีน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ การคอร์รัปชัน จะซ้ำเติมสถานการณ์อย่างมาก” หนึ่งในความเห็นของ ซีอีโอ
ขณะเดียวกัน มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งหาผู้มีความรู้ ซื่อสัตย์และกล้าตัดสินใจมาทำงานแก้ปัญหาโควิด รวมถึงรัฐบาลควรเปิดทางให้มีรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศแทน หรือพิจารณาคืนอำนาจให้กับประชาชน
ทั้งนี้ ซีอีโอ บางส่วนมีความเห็นว่า “นายกฯ ควรใช้อำนาจในการบริหารงาน และเลือกคนดีมาทำงาน หยุดการเอื้อพวกพ้อง หมดเวลารักพี่รักน้อง ปัญหาบ้านเมืองสำคัญที่สุด”
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเร่งผ่าตัดหน่วยงานราชการที่ปล่อยให้เปิดผับ บาร์ นอกเวลามาหลายปีที่มีทุจริตคอร์รัปชั่นกันเกือบทุกหน่วยงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุการระบาดวงกว้าง
ซีอีโอ บางรายให้ความเห็นว่า หากรัฐบาลต้องการบริหารต่อ ต้องเปิดกว้างระดมเอกชนทุกภาคส่วนมาช่วยเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพดำเนินการ ไม่ใช่มุ่งเน้นเอกชนรายใหญ่ แต่ต้องให้เอกชนทุกส่วนมาช่วยอย่างเป็นระบบและรวดเร็ว
ส่วนมาตรการช่วยธุรกิจ รัฐควรชัดเจนเพื่อให้ธุรกิจเตรียมตัวล่วงหน้า ไม่ควรประกาศทีหลัง ควรให้ธุรกิจมีเวลาเตรียมแผนให้สอดคล้องกัน ขณะที่รัฐบาลอาจนำเงินเยียวยาไปช่วยเหลือกลุ่มฐานรากที่ไม่ใช้วิธีการแจกเงิน แต่เร่งส่งเสริมเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการคล่องตัว